ฟอเร็กซ์
แพทเทิร์นกราฟ Double Bottom: การระบุ ความสำคัญ และเคล็ดลับ
เขียนโดย XS Editorial Team
อัปเดตแล้ว 13 ธันวาคม 2024
สารบัญ
แพทเทิร์น Double Bottom เป็นรูปแบบกราฟที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ของการกลับตัวของราคาสินทรัพย์
แพทเทิร์นนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและนิยมใช้โดยเทรดเดอร์ในการคาดการณ์การกลับตัวในทิศทางขาขึ้น
บทความนี้จะกล่าวถึงความหมายของแพทเทิร์นแท่งเทียน Double Bottom วิธีการก่อตัวและโครงสร้างของรูปแบบนี้พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับรูปแบบที่คล้ายกันและวิเคราะห์ผลกระทบของรูปแบบนี้ที่มีต่อตลาด
สาระสำคัญ
-
แพทเทิร์นกราฟ Double Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวขาขึ้นที่เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง โดยบ่งบอกถึงโอกาสที่ราคาสินทรัพย์จะปรับตัวขึ้น
-
แพทเทิร์นนี้ประกอบด้วยจุดต่ำสุดสองจุดที่ชัดเจนโดยมีจุดยอด (เส้นบริเวณคอกราฟ) อยู่ระหว่างกลาง และการยืนยันรูปแบบจะเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านเส้นบริเวณคอกราฟ ขึ้นไป
-
กลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพโดยใช้แพทเทิร์น Double Bottom ได้แก่ การเปิดตำแหน่งซื้อ (long position) หลังจากราคาทะลุเส้น neckline การตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (stop-loss) ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่สองและการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติมเพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขาย
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแพทเทิร์น Double Bottom คืออะไร?
แพทเทิร์น Double Bottom เป็นแพทเทิร์นการกลับตัวขาขึ้นที่เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง
รูปแบบนี้มีลักษณะคล้ายตัวอักษร"W" โดยแสดงให้เห็นว่าราคาสินทรัพย์ได้ลดลงไปถึงจุดต่ำสุดสองครั้ง โดยมีจุดยอด (Peak) อยู่ระหว่างกลาง
แพทเทิร์นนี้บ่งบอกว่าสินทรัพย์อาจเตรียมตัวเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น ซึ่งถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการระบุโอกาสในการเข้าซื้อ
จุดต่ำสุดทั้งสองจุดแสดงถึงแนวรับที่แข็งแกร่ง ซึ่งบ่งบอกว่าราคาสินทรัพย์พยายามลดลงแต่ไม่สามารถลดลงไปได้อีกต่อไป
การทะลุแนวผ่านเส้น neckline ของรูปแบบแพทเทิร์น Double Bottom เป็นการยืนยันแพทเทิร์นและบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นใหม่
การก่อตัวของรูปแบบ Double Bottom
การก่อตัวของแพทเทิร์นแท่งเทียน Double Bottom เกิดขึ้นใน 3 ขั้นตอนหลักดังนี้:
ระยะแรก- การสร้างจุดต่ำสุดแรก (First Bottom): ในช่วงแรกราคาจะปรับตัวลดลงไปสู่จุดต่ำสุดใหม่ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดแรกของรูปแบบนี้
ระยะต่อมา - การดีดตัวขึ้นสู่จุดยอด (เส้นบริเวณคอกราฟ): หลังจากแตะจุดต่ำสุดแล้วราคาจะดีดตัวกลับขึ้นและสร้างจุดยอด (Peak) ซึ่งเรียกว่าเส้น neckline
ระยะสุดท้าย - การสร้างจุดต่ำสุดที่สอง (Second Bottom): ราคาจะปรับตัวลดลงอีกครั้ง ไปยังระดับที่ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดแรก ซึ่งก่อให้เกิดจุดต่ำสุดที่สองและถือเป็นสัญญาณของความเป็นไปได้ที่จะเกิดการ กลับตัวในทิศทางขาขึ้น
โครงสร้างของแพทเทิร์น Double Bottom
นี่คือรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้างของแพทเทิร์น Double Bottom:
แนวโน้มขาลง (Downtrend)
-
แพทเทิร์นนี้เริ่มต้นหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของตลาดหมี
-
การลดลงครั้งแรกนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการก่อตัวของแพทเทิร์น Double Bottom
จุดต่ำสุดแรก (First Bottom)
-
ราคาปรับตัวลงจนถึงจุดต่ำสุด ซึ่งก่อให้เกิดจุดต่ำสุดแรก (First Bottom) โดยจุดนี้บ่งบอกถึงระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง
-
เทรดเดอร์มักจับตามองจุดนี้เพื่อประเมินโอกาสในการซื้อหากราคาดีดตัวกลับจากจุดนี้ก็อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการกลับตัวระยะสั้นของราคา
เส้น Neckline
-
ราคาดีดตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดแรกไปยังจุดยอด ซึ่งเรียกว่าเส้น neckline ของรูปแบบแพทเทิร์น Double Bottom โดยเส้นบริเวณคอกราฟ นี้ทำหน้าที่เป็นแนวต้านชั่วคราว
-
จุดยอดนี้แสดงถึงความพยายามในการฟื้นตัวของราคาแต่ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ส่งผลให้ราคากลับตัวลงอีกครั้ง
จุดต่ำสุดที่สอง (Second Bottom)
-
ราคาปรับตัวลดลงอีกครั้งและก่อให้เกิดจุดต่ำสุดที่สองในระดับที่ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดแรก ซึ่งเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับในบริเวณนี้
-
จุดต่ำสุดที่สองแสดงให้เห็นว่าราคามีความพยายามจะลดลงอีกครั้งแต่ไม่สามารถลงต่ำกว่านี้ได้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่อาจเกิดการกลับตัว
จุดทะลุแนว (Breakout Point)
-
แพทเทิร์นนี้จะได้รับการยืนยันเมื่อราคาทะลุผ่านเส้นบริเวณคอกราฟ ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสของการกลับตัวในทิศทางขาขึ้น
-
จุดทะลุนี้แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นในตลาดจากขาลงเป็นขาขึ้น
แนวต้าน (Resistance)
-
เส้นบริเวณคอกราฟทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญและเมื่อราคาสามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้จะส่งสัญญาณถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น
-
การทะลุผ่านแนวต้านอย่างชัดเจนแสดงให้เห็นถึงจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาลงก่อนหน้าและอาจบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นใหม่
รูปแบบ Double Bottom vs รูปแบบ Triple Bottom
แม้ว่าทั้งรูปแบบ Double Bottom และ Triple Bottom จะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโอกาสการกลับตัวในทิศทางขาขึ้นแต่รูปแบบ Triple Bottom จะมีจุดต่ำสุดที่ชัดเจน 3 จุด แทนที่จะเป็น 2 จุด
รูปแบบ Triple Bottom มักจะมีความแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากมีการยืนยันเพิ่มเติมจากจุดต่ำสุดที่สาม
อย่างไรก็ตามทั้งสองรูปแบบนี้ถือเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ในการระบุโอกาสในการเข้าซื้อที่อาจเกิดขึ้นได้
รูปแบบ Double Bottom vs. รูปแบบ Double Top
ตรงกันข้ามกับรูปแบบ Double Bottom รูปแบบ double top pattern เป็นรูปแบบการกลับตัวในทิศทางขาลง รูปแบบนี้ประกอบด้วยจุดยอด (Peak) สองจุดที่คั่นด้วยจุดต่ำสุด (Trough) โดยมีลักษณะคล้ายตัวอักษร "W" กลับด้าน
รูปแบบ Double Top บ่งบอกว่าสินทรัพย์อาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลงหลังจากที่ราคาขึ้นไปทดสอบแนวต้านถึงสองครั้งแต่ไม่สามารถทะลุผ่านได้
รูปแบบ Double Bottom บ่งบอกถึงอะไร?
รูปแบบ Double Bottom ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของความเชื่อมั่นในตลาดจากภาวะขาลง (Bearish) ไปสู่ภาวะขาขึ้น (Bullish)
รูปแบบนี้บ่งบอกว่าราคาของสินทรัพย์ได้พบแนวรับที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่ป้องกันไม่ให้ราคาลดลงไปได้อีก
หลังจากราคาดีดตัวขึ้นไปถึงเส้น neckline ราคาจะกลับมาทดสอบแนวรับอีกครั้งและก่อให้เกิดจุดต่ำสุดที่สอง (Second Bottom) การเกิดจุดต่ำสุดที่สองนี้เป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแนวรับและแสดงให้เห็นถึงความเต็มใจของผู้ซื้อที่จะเข้าสู่ตลาดที่ระดับราคานี้
เมื่อราคาสามารถทะลุผ่านเส้น neckline ได้ จะเป็นการยืนยันการกลับตัวในทิศทางขาขึ้น (Bullish Reversal) ซึ่งบ่งบอกว่าความกดดันจากแรงขายเริ่มลดลงและแรงซื้อกำลังเพิ่มขึ้น
การทะลุผ่านแนวนี้บ่งชี้ว่าสินทรัพย์มีแนวโน้มเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นทำให้รูปแบบนี้เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากการกลับตัวของแนวโน้ม
โดยรวมแล้ว รูปแบบ Double Bottom เป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาลงก่อนหน้านี้อาจสิ้นสุดลงและมีโอกาสที่แนวโน้มขาขึ้นจะเกิดขึ้นในอนาคต
รูปแบบต่างๆของแพทเทิน Double Bottom
รูปแบบ Double Bottom เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการกลับตัวของตลาดแต่รูปแบบที่แตกต่างกันของ Double Bottom อาจเพิ่มความซับซ้อน ซึ่งส่งผลต่อทั้งประสิทธิภาพของรูปแบบและกลยุทธ์ที่ใช้ในการเทรดรูปแบบนี้
รูปแบบ Double Bottom ที่ซับซ้อน (Complex Double Bottom Patterns)
รูปแบบ Double Bottom ที่ซับซ้อนเกิดขึ้นเมื่อมีการ "ทดสอบแนวรับ" หลายครั้งภายในโครงสร้างของจุดต่ำสุดสองจุด (Double Bottom) มาตรฐาน
ลักษณะของรูปแบบนี้มีดังนี้:
-
การทดสอบแนวรับหลายครั้ง (Multiple Support Tests): แทนที่จะมีจุดต่ำสุดที่ชัดเจนเพียงสองจุด รูปแบบ Double Bottom ที่ซับซ้อนจะแสดงให้เห็นว่าราคาได้ทดสอบระดับแนวรับหลายครั้ง ซึ่งอาจมีการปรับฐาน (Retracement) เล็กน้อยระหว่างการทดสอบแต่ละครั้ง
-
การสะสมตัวในระยะเวลานานขึ้น (Extended Consolidation): รูปแบบเหล่านี้มักจะใช้เวลานานขึ้นในการก่อตัว เนื่องจากราคาจะอยู่ในช่วงการสะสม (Consolidation) เป็นเวลานานสิ่งนี้เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อสะสมตำแหน่งซื้อ (Buy) มากขึ้นก่อนที่จะเกิดการทะลุแนวต้าน (Breakout)
-
ผลกระทบต่อการเทรด (Trading Impact): รูปแบบ Double Bottom ที่ซับซ้อนสามารถให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือมากขึ้น เนื่องจากการทดสอบแนวรับหลายครั้งแสดงให้เห็นถึงแรงต้านทานที่แข็งแกร่งต่อการลดลงของราคา อย่างไรก็ตามการก่อตัวที่ใช้เวลานานขึ้นยังต้องการความอดทนจากเทรดเดอร์และอาจต้องตั้งค่า Stop-Loss ที่กว้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนระหว่างการก่อตัวของรูปแบบนี้
รูปแบบ Double Bottom ที่ล้มเหลว (Failed Double Bottom Patterns)
รูปแบบ Double Bottom ที่ล้มเหลวเกิดขึ้นเมื่อรูปแบบดูเหมือนจะเป็น Double Bottom ในช่วงแรกแต่ไม่สามารถทะลุผ่านเส้น neckline ได้สำเร็จ
สาเหตุทั่วไปที่ทำให้รูปแบบล้มเหลว ได้แก่ แรงซื้อที่อ่อนแอ ปริมาณการซื้อขายที่ไม่เพียงพอ หรือปัจจัยภายนอกของตลาดที่เพิ่มแรงขายอย่างกะทันหัน
-
การทะลุหลอก (False Breakouts): ราคาอาจทะลุผ่านเส้น neckline ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่จากนั้นกลับตัวลงมาอีกครั้งทำให้รูปแบบไม่สมบูรณ์และไม่สามารถยืนยันการกลับตัวในทิศทางขาขึ้นได้
-
ปริมาณการซื้อขายที่อ่อนแอ: หากในช่วงที่ราคาทะลุผ่านเส้นบริเวณคอกราฟ ไม่มีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รูปแบบ Double Bottom จะมีโอกาสล้มเหลวสูงขึ้นเนื่องจากขาดแรงซื้อที่จำเป็นสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาอย่างต่อเนื่อง
-
ปัจจัยภายนอกของตลาด (External Market Factors): ปัจจัยภายนอก เช่น ข่าวเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด หรือแรงขายที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันอาจทำให้รูปแบบ Double Bottom ล้มเหลวแม้ว่าจะมีสัญญาณของรูปแบบในช่วงแรกก็ตาม
-
ผลกระทบต่อการเทรด (Trading Impact): การรู้จักสัญญาณเริ่มต้นของรูปแบบ Double Bottom ที่ล้มเหลว เช่น ปริมาณการซื้อขายที่อ่อนแอ หรือการขาดความต่อเนื่องของการเคลื่อนไหวหลังจากเกิดการทะลุเส้นบริเวณคอกราฟจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปิดออเดอร์ได้ถูกจังหวะหรือปรับจุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss) ให้รัดกุมมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากการ กลับตัวของราคาในทิศทางขาลง
รูปแบบ Double Bottom พร้อมกับ Divergence
รูปแบบ Double Bottom ที่มาพร้อมกับ divergence เกิดขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคารูปแบบ Double Bottom ปรากฏขึ้นแต่ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Technical Indicators) เช่น ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Convergence Divergence (MACD) ไม่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับราคาที่เกิดขึ้น
-
Divergence ในอินดิเคเตอร์: ตัวอย่างเช่น หากราคาก่อตัวจุดต่ำสุดที่สองในระดับที่ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดแรกแต่ค่า RSI ไม่ลดลงต่ำเท่ากับจุดต่ำสุดแรกแสดงให้เห็นถึงการอ่อนแรงของโมเมนตั้มขาลง (Downward Momentum)
-
สัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่งขึ้น: Divergence ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและอินดิเคเตอร์สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับสัญญาณการกลับตัวได้ เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าแรงขายกำลังลดลง
-
ผลกระทบต่อการเทรด: Divergence สามารถทำให้รูปแบบ Double Bottom ทรงพลังมากขึ้น โดยส่งสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงกำลังสูญเสียความแข็งแกร่ง ซึ่งอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการยืนยันรูปแบบก่อนตัดสินใจเข้าเทรด
กลยุทธ์การเทรดโดยใช้รูปแบบ Double Bottom
การเทรดรูปแบบ Double Bottom อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการระบุรูปแบบอย่างถูกต้องและการเทรดที่ถูกจังหวะตลอดจนการจัดการความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์
นี่คือกลยุทธ์การเทรดรูปแบบ Double Bottom ที่ควรพิจารณา:
-
เปิดสถานะซื้อ (Enter Long Position): เปิดคำสั่งซื้อ (Buy Order) เมื่อราคาทะลุผ่านเส้น neckline ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัวในทิศทางขาขึ้นจุดเข้าซื้อที่จุดนี้มีโอกาสสูงที่จะได้รับผลตอบแทนจากการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางขาขึ้น
-
ตั้งค่า Stop-Loss (Set Stop-Loss): วางคำสั่งหยุดการขาดทุน (Stop-Loss) ไว้ใต้จุดต่ำสุดที่สองเล็กน้อยเพื่อจัดการความเสี่ยงและปกป้องเงินทุนหากรูปแบบล้มเหลวและราคากลับตัวเป็นขาลง Stop-Loss จะช่วยจำกัดการขาดทุน
-
วัดเป้าหมายกำไร (Measure Target): ประมาณการเป้าหมายราคาที่คาดหวังโดยวัดความสูงของรูปแบบ (ระยะจากจุดต่ำสุดไปยังเส้น neckline) จากนั้นนำระยะดังกล่าวไปคาดการณ์เป้าหมายกำไรจากจุดที่เกิดการทะลุ (Breakout) วิธีนี้ช่วยระบุระดับราคาที่อาจทำกำไรได้
-
ผสานเครื่องมือวิเคราะห์อื่น (Combine Indicators): เสริมกลยุทธ์การเทรดโดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือ ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณที่ได้รับ
-
ติดตามปริมาณการซื้อขาย (Monitor Volume): ยืนยันการทะลุแนวต้าน (Breakout) ด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น เนื่องจากปริมาณที่เพิ่มขึ้นช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของรูปแบบ การเพิ่มขึ้นของปริมาณแสดงถึงความสนใจในการซื้อที่แข็งแกร่ง ซึ่งสนับสนุนการกลับตัวในทิศทางขาขึ้น
เคล็ดลับในการเทรดด้วยรูปแบบ Double Bottom
-
รอการยืนยัน (Wait for Confirmation): รอให้รูปแบบได้รับการยืนยันโดยการที่ราคาทะลุผ่านเส้น neckline ก่อนที่จะเข้าเทรดเพื่อเพิ่มความมั่นใจในสัญญาณกลับตัว
-
วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Analyze Volume): ตรวจสอบปริมาณการซื้อขายในช่วงที่เกิดการทะลุเส้น neckline หากปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของรูปแบบนี้
-
ตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Set Stop-Loss Orders): ปกป้องเงินทุนของคุณโดยการวางคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-Loss) ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่สองเล็กน้อยเพื่อลดความเสี่ยงหากรูปแบบล้มเหลว
-
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพิ่มเติม (Use Additional Indicators): เสริมกลยุทธ์ของคุณด้วยการใช้รูปแบบ Double Bottom ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) เพื่อรับสัญญาณที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
-
ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ในตลาด (Stay Informed): ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ในตลาดที่อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาด
บทสรุป
รูปแบบ Double Bottom ซึ่งมีลักษณะเด่นคือจุดต่ำสุดที่ชัดเจนสองจุดและการทะลุผ่านเส้นบริเวณคอกราฟ (neckline) บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นในตลาดจากภาวะขาลง (Bearish) เป็นภาวะขาขึ้น (Bullish)
การเข้าใจถึงการก่อตัว โครงสร้าง และความหมายของรูปแบบนี้จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจในการซื้อขายได้
ติดตาม XS เพื่อรับเนื้อหาการเรียนรู้เพิ่มเติม!
สารบัญ
คำถามที่พบบ่อย
ใช่ รูปแบบ Double Bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวในทิศทางขาขึ้น (Bullish Reversal Pattern)
รูปแบบ Double Bottom มักได้รับการพิจารณาว่ามีความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับการยืนยันด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติมและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาทะลุเส้นบริเวณคอกราฟ
รูปแบบ Double Bottom จะถือว่าไม่สมบูรณ์หากราคาล้มเหลวในการทะลุผ่านเส้นบริเวณคอกราฟ หรือหากราคาลดลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่สองอย่างมีนัยสำคัญ
อัตราการชนะของรูปแบบ Double Bottom จะแตกต่างกันไปตามสภาวะตลาดและสินทรัพย์ที่ทำการเทรด อย่างไรก็ตามรูปแบบนี้มักได้รับการพิจารณาว่ามีอัตราความสำเร็จสูงหากสามารถระบุและยืนยันได้อย่างถูกต้อง
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง