Logo
หน้าหลัก  >  บทความ  >  ตลาดหมีคืออะไร

ฟอเร็กซ์

ตลาดหมีคืออะไร? สัญญาณ ช่วงเวลา และเคล็ดลับการลงทุน

เขียนโดย XS Editorial Team

อัปเดตแล้ว 30 มกราคม 2025

ตลาดหมีคืออะไร
สารบัญ

    ตลาดหมี (Bear Market) หมายถึงภาวะที่ราคาหุ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งมักทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกสิ้นหวังและมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับตลาด

    ในบทความนี้เราจะอธิบายลักษณะเด่นของตลาดหมี ตั้งแต่สัญญาณบ่งชี้ ช่วงเวลาสำคัญ, ไปจนถึงสาเหตุที่ทำให้ตลาดเข้าสู่ขาลง นอกจากนี้คุณจะได้เรียนรู้วิธีการระบุตลาดหมีอย่างถูกต้องความแตกต่างระหว่างตลาดหมีและตลาดกระทิง (Bull Market) และกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างมั่นใจในช่วงตลาดที่ท้าทาย

    สาระสำคัญ

    • ตลาดหมี (Bear Market) คืออะไร? ตลาดหมีคือช่วงเวลาที่ราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะเวลายาวนาน โดยปกติจะถูกกำหนดให้เป็นการลดลงมากกว่า 20% ซึ่งมักเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เป็นลบและความไม่มั่นใจของนักลงทุน

    • ความท้าทายและโอกาสในตลาดหมีแม้ว่าตลาดหมีจะสร้างความท้าทายแต่ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวซื้อสินทรัพย์คุณภาพสูงในราคาที่ถูกลง ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนในอนาคตได้

    • รูปแบบกราฟขาลงที่ช่วยคาดการณ์ตลาดหมีรูปแบบกราฟขาลง เช่น Evening Star Double Tops และ Descending Triangles เป็นเครื่องมือที่ช่วยนักลงทุนคาดการณ์การลดลงของราคาเพิ่มเติมในช่วงตลาดหมี

    ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง

    ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ

    เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    ตลาดหมีคืออะไร?

    ตลาดหมี (Bear Market) หมายถึงช่วงเวลาหนึ่งในตลาดการเงินที่ราคาหลักทรัพย์ เช่น หุ้น ลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุดและยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงเป็นเวลานาน

    การลดลงนี้มักสะท้อนถึงความรู้สึกกังวลและความกลัวอย่างแพร่หลายในหมู่นักลงทุน ซึ่งมักเกิดจากความท้าทายทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ระดับโลก หรือสภาวะตลาดที่อ่อนแอ

    ตลาดหมีมักมาพร้อมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงกำ ไรของบริษัทที่ต่ำลง และในบางกรณีการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงาน

    คำว่า "ตลาดหมี" ได้รับแรงบันดาลใจจากลักษณะการโจมตีของหมีที่ใช้กรงเล็บฟาดลงจากบนลงล่าง ซึ่งเปรียบเสมือนการเคลื่อนตัวลงของราคาหุ้นในตลาด

     

    ลักษณะเด่นของตลาดหมี (Bear Market)

    ตลาดหมี (Bear Market) มีลักษณะเด่นหลายประการที่แตกต่างจากความผันผวนของตลาดในภาวะปกติการเข้าใจลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุและรับมือกับช่วงเวลาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

    1. การลดลงของราคาที่สำคัญ: ลักษณะสำคัญของตลาดหมีคือการลดลงของราคาสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยปกติจะลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อหุ้น พันธบัตรหรือหลักทรัพย์อื่น ๆ

    2. ความรู้สึกในแง่ลบแพร่หลาย: ในช่วงตลาดหมี นักลงทุนมีมุมมองในเชิงลบ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากความกลัวที่จะขาดทุนเพิ่มเติมความรู้สึกนี้มักนำไปสู่การขายสินทรัพย์จำนวนมากและเร่งให้ราคาลดลง

    3. เศรษฐกิจอ่อนแอ: ตลาดหมีมักเกิดขึ้นพร้อมกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เช่น การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลง กำไร ของบริษัทที่ต่ำลง และอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น

    4. ปริมาณการซื้อขายต่ำ: นักลงทุนมักเลือกที่จะระมัดระวังในช่วงตลาดหมี ซึ่งนำไปสู่การลดลงของกิจกรรมการซื้อขายเพราะหลายคนเลือกถือเงินสดแทนที่จะเสี่ยงกับการขาดทุนเพิ่มเติม

    5. ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น: ตลาดหมีมักมาพร้อมกับความผันผวนของราคาที่รุนแรงและคาดเดาได้ยากทำให้การประเมินว่าตลาดจะกลับมามีเสถียรภาพเมื่อใดเป็นเรื่องที่ท้าทาย

    6. มุ่งเน้นไปที่การลงทุนเชิงป้องกัน: ในช่วงตลาดหมีนักลงทุนจำนวนมากมักเปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตร ทองคำ หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเพื่อรักษาเงินทุนของตน

     

    ช่วงต่าง ๆ ของตลาดหมี (Bear Market)

    ตลาดหมีมักเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นโดยแต่ละช่วงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของนักลงทุนและแนวโน้มของตลาดที่แตกต่างกันออกไป

     

    ช่วงที่ 1: การกระจายสินทรัพย์ (Distribution)

    ช่วงแรกของตลาดหมีเริ่มต้นอย่างแผ่วเบา นักลงทุนรายใหญ่ เช่น สถาบันการเงินและบุคคลภายในที่มีข้อมูลเริ่มทยอยขายสินทรัพย์เพื่อเก็บกำไรทำให้ราคาค่อย ๆ ลดลง

    ในช่วงนี้นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองในด้านบวกและไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลาดยังดูมีเสถียรภาพแต่เริ่มมีสัญญาณอ่อนแอ เช่น ความกระตือรือร้นในการซื้อขายลดลงและราคาปรับตัวลดลงเล็กน้อย

     

    ช่วงที่ 2: การมีส่วนร่วมของสาธารณะ (Public Participation)

    ในช่วงที่สองสาธารณชนเริ่มสังเกตเห็นแนวโน้มขาลงของตลาด ข่าวร้าย เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่หรือผลประกอบการของบริษัทที่น่าผิดหวังยิ่งกระตุ้นความกลัวและความไม่แน่นอน

    เมื่อมีผู้คนขายสินทรัพย์เพิ่มขึ้นราคาก็ลดลงอย่างรวดเร็วขึ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนเปลี่ยนจากมุมมองในด้านบวกเป็นความกังวล กิจกรรมการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจาย ช่วงนี้มักเป็นช่วงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดและสร้างความเร่งรีบในหมู่ผู้เข้าร่วมตลาด

     

    ช่วงที่ 3: ความตื่นตระหนก (Panic)

    ช่วงสุดท้ายของตลาดหมีมีลักษณะเด่นคือความตื่นตระหนกอย่างแพร่หลาย นักลงทุนแห่กันขายสินทรัพย์ของตนแม้ในราคาที่ขาดทุนหนักเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนเพิ่มเติม

    ราคาลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วแตะระดับต่ำสุดใหม่เมื่อความสิ้นหวังเข้าครอบงำความเชื่อมั่นในตลาดอยู่ในระดับต่ำสุดและการซื้อขายมีความผันผวนสูงมากช่วงนี้มักจะเป็นช่วงที่เข้มข้นที่สุดแต่ก็มักเป็นสัญญาณว่าตลาดใกล้จะสิ้นสุดการลดลงและอาจเริ่มเข้าสู่ภาวะทรงตัวในไม่ช้า

     

    ตลาดกระทิง vs. ตลาดหมี

    อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วตลาดหมี (Bear Market) คือช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปกติลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด

    ในทางตรงกันข้ามตลาดกระทิง (Bull Market) หมายถึงช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงิน เช่น หุ้น ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาวตลาดกระทิงเกิดจากปัจจัยสนับสนุนทางเศรษฐกิจ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อัตราการว่างงานต่ำ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สูง

    ในช่วงตลาดกระทิงนักลงทุนมักมองโลกในแง่ดีและเชื่อว่าราคาจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไปความเชื่อมั่นนี้มักส่งผลให้เกิดการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นและความรู้สึกถึงความมั่งคั่งทางการเงินที่กระจายไปทั่วตลาด

     

    ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างตลาดกระทิงและตลาดหมี

    แนวโน้มราคา:

    •  ตลาดกระทิง: ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

    • ตลาดหมี: ราคาลดลงอย่างรุนแรงโดยปกติจะลดลงมากกว่า 20%

    ความรู้สึกของนักลงทุน:

    • ตลาดกระทิง: มุมมองในด้านบวกและความมั่นใจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการซื้อขาย

    • ตลาดหมี: ความสิ้นหวังและความกลัวครอบงำส่งผลให้เกิดการขายสินทรัพย์อย่างแพร่หลาย

    ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ:

    • ตลาดกระทิง: สะท้อนถึงการเติบโตของ GDP ที่แข็งแกร่ง อัตราการว่างงานต่ำ และผลกำไรของบริษัทสูง

    • ตลาดหมี: มักเกิดขึ้นพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น และผลกำไรที่ลดลง

    ความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับ:

    • ตลาดกระทิง: นักลงทุนกล้าเสี่ยงมากขึ้นโดยมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่มีการเติบโตสูงและผลตอบแทนสูง
    • ตลาดหมี: นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้นมักเปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตรหรือเงินสด

    ระยะเวลา:

    • ตลาดกระทิง: สามารถคงอยู่ได้ยาวนานหลายเดือนหรือหลายปี
    • ตลาดหมี: มักมีระยะเวลาสั้นกว่าแต่ความรุนแรงและความผันผวนจะมากกว่า

     

    วิธีการระบุตลาดหมี (Bear Market)

    การระบุตลาดหมีเกี่ยวข้องกับการสังเกตสัญญาณและแนวโน้มเฉพาะในตลาดการเงินและเศรษฐกิจ ดังนี้:

    • การลดลงของราคาที่สำคัญ: ราคาหุ้น ดัชนี หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ลดลงต่อเนื่องมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด

    • ความรู้สึกเชิงลบในตลาด: ความกลัวและความสิ้นหวังแพร่หลายในหมู่นักลงทุน ซึ่งมักสะท้อนจากการขายสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น

    • เศรษฐกิจอ่อนแอ: ตัวชี้วัด เช่น GDP ที่ลดลง อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงมักเกิดขึ้นพร้อมกับตลาดหมี

    • กำไรของบริษัทลดลง: บริษัทต่าง ๆ รายงานผลกำไรที่ลดลงซึ่งทำให้นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นและราคาสินทรัพย์ลดลงอีก

    • ความผันผวนสูง: ตลาดเผชิญกับการแกว่งตัวของราคาที่รุนแรงและคาดเดาได้ยากโดยแนวโน้มขาลงเป็นตัวกำหนดทิศทางหลัก

    • ปริมาณการซื้อขายลดลง: การลดลงอย่างเห็นได้ชัดของกิจกรรมการซื้อขายเนื่องจากนักลงทุนลังเลที่จะเข้าซื้อในตลาด

     

    อะไรเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดตลาดหมี?

    ตลาดหมีมักเกิดจากการรวมตัวของปัจจัยต่าง ๆ ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนำไปสู่การลดลงของราคาสินทรัพย์ในระยะยาว

    ปัจจัยที่พบได้บ่อยคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เช่น GDP ที่ลดลงหรืออัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ เช่น สงครามหรือความขัดแย้งทางการค้า อัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งกดดันค่าครองชีพและลดการใช้จ่ายของผู้บริโภครวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นและนโยบายการเงินที่เข้มงวด เช่น การลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ตลาดเข้าสู่ภาวะขาลงและสูญเสียความมั่นคงในระยะยาว

     

    กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหมี (Bear Market)

    การลงทุนในตลาดหมีต้องอาศัยความระมัดระวังและการมุ่งเน้นที่การรักษาเงินทุนพร้อมมองหาโอกาสในการเติบโต ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ:

    • เน้นหุ้นเชิงป้องกัน: ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักทำผลงานได้ดีในช่วงเศรษฐกิจถดถอย เช่น กลุ่มสุขภาพ สาธารณูปโภค และสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน

    • กระจายพอร์ตการลงทุน: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น พันธบัตร ทองคำ และเงินสดเพื่อลดความเสี่ยง

    • ลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผล: บริษัทที่จ่ายเงินปันผลสามารถสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคงแม้ว่าราคาหุ้นจะลดลง

    • ใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging: ลงทุนเป็นจำนวนเงินที่คงที่ในช่วงเวลาที่สม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและเฉลี่ยต้นทุนการลงทุนในระยะยาว

    • มองหาโอกาสในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำ: เลือกบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งแต่มีราคาต่ำลงเนื่องจากภาวะตลาดขาลง

    • รักษามุมมองระยะยาว: หลีกเลี่ยงการขายเพราะความตื่นตระหนกและมุ่งเน้นเป้าหมายทางการเงินระยะยาวโดยเข้าใจว่าตลาดหมีเป็นสถานการณ์ชั่วคราว

     

    รูปแบบกราฟขาลงที่ควรจับตา

    ต่อไปนี้คือรูปแบบกราฟขาลงที่สำคัญที่ควรสังเกต:

     

    Double Top

    กราฟ double top แสดงถึงยอดสองจุดที่ระดับราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งบ่งบอกถึงแนวต้านและความเป็นไปได้ที่ราคาจะปรับตัวลดลงในอนาคต

     

    Descending Triangle

    รูปแบบกราฟ descending triangle แสดงถึงเส้นแนวรับที่เป็นเส้นตรงและเส้นแนวต้านที่ลาดลงซึ่งบ่งบอกถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่ราคาจะลดลงต่อไป

     

    Bearish Flag

    รูปแบบ bearish flag มีลักษณะเป็นการพักตัวของราคาที่ปรับขึ้นเล็กน้อยในระยะสั้น (ตัวธง) หลังจากราคาลดลงอย่างรุนแรง (เสาธง) ซึ่งมักบ่งบอกถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง

     

    Evening Star

    รูปแบบ evening star ประกอบด้วยกราฟแท่งเทียนสามแท่งโดยแท่งแรกเป็นแท่งขาขึ้นขนาดใหญ่ตามด้วยแท่งเล็กที่มีตัวเทียนขนาดเล็กและปิดท้ายด้วยแท่งขาลงขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการ กลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง

     

    ประโยชน์และความเสี่ยงของการลงทุนในช่วงตลาดหมี

     

    ประโยชน์

    • ซื้อในราคาที่ต่ำลง: หุ้นคุณภาพจำนวนมากมักมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงในช่วงตลาดหมี ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่า

    • อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงขึ้น: ราคาหุ้นที่ลดลงมักทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้น สร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่นักลงทุน

    • โอกาสเติบโตในระยะยาว: การลงทุนในช่วงขาลงช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรเมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัว

    • คัดกรองบริษัทที่อ่อนแอ: ตลาดหมีมักเผยให้เห็นบริษัทที่บริหารจัดการไม่ดีช่วยให้นักลงทุนสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น

     

    ความเสี่ยง

    • ราคาที่อาจลดลงต่อเนื่อง: ราคาสินทรัพย์อาจลดลงต่อไปหลังจากการลงทุนซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนในระยะสั้น

    • ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ: ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือวิกฤตเศรษฐกิจมักมาพร้อมกับตลาดหมีซึ่งเพิ่มความผันผวนและความไม่แน่นอน

    • สภาพคล่องลดลง: การขายสินทรัพย์ในช่วงตลาดขาลงอาจทำได้ยากขึ้นและอาจต้องยอมรับการขาดทุนมาก

    • การตัดสินใจที่ใช้อารมณ์: ความกลัวและความไม่แน่นอนสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดการไตร่ตรองและส่งผลกระทบต่อเป้าหมายในระยะยาว

     

    บทสรุป

    ตลาดหมีอาจเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายแต่ก็เปิดโอกาสให้กับนักลงทุนที่มีความอดทนและวางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด การเข้าใจช่วงต่าง ๆ ของตลาด การระบุรูปแบบสำคัญและการนำกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมมาใช้สามารถช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงขาลงได้อย่างมั่นคงแม้ความเสี่ยงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การติดตามข้อมูลและมุ่งเน้นเป้าหมายระยะยาวสามารถสร้างความแตกต่างได้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน

    ติดตาม XS เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกด้านการเทรดเพิ่มเติม!

    พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?

    เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย

    รับสิทธิ์เข้าถึงฟรี
    สารบัญ

      คำถามที่พบบ่อย

      ขึ้นอยู่กับมุมมอง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่เนื่องจากราคาที่ลดลง แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำสำหรับการเติบโตในระยะยาว

      ตลาดหมีคือช่วงเวลาที่ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก โดยปกติลดลงมากกว่า 20% ในระยะเวลานาน ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความกังวล

      ตลาดหมีโดยทั่วไปกินเวลาตั้งแต่ไม่กี่เดือนจนถึงสองสามปีโดยเฉลี่ยประมาณ 10–14 เดือน

      ไม่เหมือนกันแต่ทั้งสองมักเกิดขึ้นพร้อมกันตลาดหมีหมายถึงการลดลงของราคาหุ้นขณะที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหมายถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เช่น GDP ที่ลดลงและอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น

      เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง

      scroll top