ฟอเร็กซ์
การซื้อขาย CFD: เรียนรู้วิธีการซื้อขาย CFD
เขียนโดย XS Editorial Team
อัปเดตแล้ว วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2024
สารบัญ
การซื้อขายสัญญาส่วนต่าง (Contract for Differences หรือ CFD) ช่วยให้คุณสามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริง ๆ ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งจากตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้นและขาลงแต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
บทความนี้อธิบายการซื้อขาย CFD กลยุทธ์ที่เหมาะสมรวมถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการซื้อขายนี้
สาระสำคัญ
-
การซื้อขาย CFD ช่วยให้คุณสามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์พื้นฐาน
-
คุณสามารถเปิดสถานะซื้อหรือขายในการซื้อขาย CFD เพื่อทำกำไรได้ทั้งจากตลาดขาขึ้นและขาลง
-
การใช้เลเวอเรจในการซื้อขาย CFD สามารถเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุนได้
-
การจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เช่น การตั้งจุดหยุดขาดทุน (stop loss) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ซื้อขาย CFD
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายการซื้อขายสัญญาส่วนต่าง (CFD) คืออะไร?
สัญญาส่วนต่าง (Contract for Difference หรือ CFD) เป็นสัญญาทางการเงินในตลาดอนุพันธ์ที่ช่วยให้คุณสามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี หรือ สกุลเงิน
เมื่อคุณทำการซื้อขาย CFD คุณไม่ได้ซื้อหรือขายสินทรัพย์จริงแต่คุณกำลังทำสัญญากับโบรกเกอร์เพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ตั้งแต่เริ่มเปิดสัญญาจนถึงปิดสัญญา
วิธีการทำงานของการซื้อขาย CFD
การซื้อขาย CFD ช่วยให้คุณสามารถเก็งกำไรจากราคาสินทรัพย์ เช่น ทองคำ โดยไม่ต้องซื้อหรือขายทองคำจริง ๆ แนวคิดหลักคือการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคา
แต่การซื้อขาย CFD ทำงานอย่างไร? ในฐานะผู้ซื้อขาย CFD คุณสามารถเลือกเปิดตำแหน่งซื้อ (long) หรือตำแหน่งขาย (short) ได้
การเปิดตำแหน่งซื้อ (Going Long) ในการซื้อขาย CFD
เมื่อคุณเปิดตำแหน่งซื้อหรือ 'เข้าตำแหน่งซื้อ' หมายถึงคุณกำลังซื้อสัญญา CFD โดยคุณเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์พื้นฐานจะเพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือคุณมีความคาดหวังในเชิงบวก (หรือ "ตลาดขาขึ้น") ต่อมูลค่าในอนาคตของสินทรัพย์หากราคาขึ้นตามที่คาดไว้ คุณสามารถขาย CFD ได้ในราคาที่สูงขึ้นเพื่อทำกำไรแต่ถ้าราคาลดลงคุณจะขาดทุน
ตัวอย่างการเปิดตำแหน่งซื้อในการซื้อขาย CFD:
-
คุณเชื่อว่าราคาหุ้น Appleจะเพิ่มขึ้นคุณจึงซื้อ CFD ที่ราคา $150
-
ต่อมาราคาหุ้น Apple เพิ่มขึ้นเป็น $160 และคุณตัดสินใจขาย CFD
-
คุณจะได้กำไร $10 ต่อหุ้น ($160 - $150)
การเปิดตำแหน่งขาย (Going Short) ในการซื้อขาย CFD
เมื่อคุณเปิดตำแหน่งขาย หมายถึงคุณกำลังขายสัญญา CFD เพราะเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์จะลดลง นี่เรียกว่า "การขายชอร์ต" หรือมีมุมมองในเชิงลบต่อตลาด (หรือ "ตลาดขาลง") หากราคาลดลงตามคาด คุณสามารถซื้อคืน CFD ได้ในราคาที่ต่ำกว่าและเก็บส่วนต่างเป็นกำไรแต่หากราคาสูงขึ้นคุณจะขาดทุน
ตัวอย่างการเปิดตำแหน่งขายในการซื้อขาย CFD:
-
คุณคาดว่าราคาทองคำจะลดลงคุณจึงขาย CFD ที่ราคา $1,800 ต่อออนซ์
-
ราคาทองคำลดลงเป็น $1,750 และคุณปิดตำแหน่งโดยการซื้อ CFD คืน
-
คุณจะได้กำไร $50 ต่อออนซ์ ($1,800 - $1,750)
ตัวอย่างการซื้อขาย CFD
มาดูตัวอย่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของการซื้อขาย CFD ทั่วไป สมมติว่าคุณตัดสินใจซื้อ CFD ของคริปโตเคอเรนซี (เปิดตำแหน่งซื้อ) ที่ราคา $10 โดยคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้น
ต่อมาราคาในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น $15 และคุณตัดสินใจปิดสัญญาโดยการขาย ในกรณีนี้คุณจะได้กำไร $5 ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อ ($10) และราคาที่ขาย ($15)
อย่างไรก็ตามหากตลาดไม่เป็นไปตามคาดและราคาลดลงเป็น $5 และคุณตัดสินใจขายคุณจะต้องชดเชยขาดทุน $5 โดยจะต้องชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาที่คุณซื้อเดิม ($10) และราคาใหม่ที่ต่ำกว่า ($5)
ดังนั้นการซื้อขาย CFD ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของตลาดไม่ว่าจะทำกำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างของราคา
การซื้อขาย CFD vs การซื้อขายฟอเร็กซ์
นักเทรดเดอร์หลายคนสงสัยว่าการซื้อขาย CFD เปรียบเทียบกับการซื้อขายฟอเร็กซ์ (ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ) นั้นเป็นอย่างไร
แม้ว่าการซื้อขายทั้ง CFD และ ฟอเร็กซ์จะเกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญบางประการดังนี้:
-
สินทรัพย์ที่ซื้อขาย: การซื้อขายฟอเร็กซ์ มุ่งเน้นที่สกุลเงิน (เช่น EUR/USD) ขณะที่การซื้อขาย CFD ครอบคลุมสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า เช่น หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล
-
เลเวอเรจ: ทั้งสองมีการใช้เลเวอเรจแต่ฟอเร็กซ์มักมีเลเวอเรจที่สูงกว่า
-
ชั่วโมงการซื้อขาย: ตลาดฟอเร็กซ์เปิดทำการ 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ขณะที่ CFD จะเปิดดำเนินการในช่วงเวลาทำการของตลาดเฉพาะของสินทรัพย์อ้างอิง
-
ความเป็นเจ้าของ: การซื้อขายฟอเร็กซ์เป็นการแลกเปลี่ยนสกุลเงินโดยตรงส่วนการซื้อขาย CFD เป็นเพียงการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง
สัญญาส่วนต่าง: เลเวอเรจ มาร์จิ้น และสเปรด
เมื่อทำการซื้อขาย CFD แนวคิดสำคัญสามประการที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไร ได้แก่ เลเวอเรจ มาร์จิ้น และสเปรด
เลเวอเรจ
เลเวอเรจช่วยให้คุณควบคุมสถานะขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์ เสนอเลเวอเรจ 10:1 คุณจะต้องมีเงินเพียง $1,000 เพื่อควบคุมตำแหน่งที่มีมูลค่า $10,000
ที่ XS เรานำเสนอโมเดลเลเวอเรจแบบไดนามิก1:2000 ซึ่งหมายความว่าเพียงแค่เงินฝากเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยคุณก็สามารถควบคุมตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นได้อย่างมาก
สิ่งนี้สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรแต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเงินทุนของคุณ
มาร์จิ้น
มาร์จิ้นหมายถึงเงินฝากประกันที่จำเป็นในการเปิดและรักษาการซื้อขายที่ใช้เลเวอเรจ ซึ่งเป็นเศษส่วนของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดและมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์
ข้อกำหนดมาร์จิ้น ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ทำการซื้อขายและนโยบายของโบรกเกอร์ ยกตัวอย่างเช่น หากข้อกำหนดมาร์จิ้นคือ 5% และคุณต้องการซื้อขาย CFD มูลค่า $10,000 คุณจะต้องวางเงินฝาก $500 เพื่อเปิดตำแหน่งะนี้
การซื้อขาย CFD มีมาร์จิ้นอยู่สองประเภท:
-
มาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin): จำนวนเงินที่คุณต้องฝากเพื่อเปิดตำแหน่งใหม่
-
มาร์จิ้นสำหรับการรักษาตำแหน่ง (Maintenance Margin): จำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องมีอยู่ในบัญชีเพื่อรักษาตำแหน่งหากยอดในบัญชีของคุณลดลงต่ำกว่าระดับนี้คุณอาจจะเจอกับการมาร์จิ้นคอล (Margin Call) ซึ่งต้องการให้คุณเพิ่มเงินทุนเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติ
ระบบนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถถือสถานะที่ใหญ่กว่าที่จะสามารถทำได้ปกติแต่ก็หมายถึงมีความเสี่ยงในการสูญเสียมากกว่าเงินมาร์จิ้นเริ่มต้นหากตลาดไม่เป็นไปตามคาด
สเปรด
สเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (ราคาเสนอขาย) และราคาขาย (ราคาเสนอซื้อ) ของ CFD สเปรดถือเป็นต้นทุนในการซื้อขาย CFD และเป็นวิธีที่โบรกเกอร์ทำรายได้
เมื่อคุณเปิดตำแหน่งคุณจะต้องจ่ายสเปรดให้กับโบรกเกอร์และจำเป็นต้องครอบคลุมช่องว่างนี้ก่อนที่การซื้อขายจะเริ่มทำกำไร
ตัวอย่างเช่น หากราคาซื้อของสินทรัพย์คือ $100 และราคาขายคือ $98 สเปรดจะอยู่ที่ $2 หากคุณเปิดสถานะซื้อ (Long) ราคาของสินทรัพย์จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อย $2 เพื่อให้คุณคุ้มทุนจากการซื้อขายนี้
ค่าสเปรดที่น้อยลงจะเป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์เนื่องจากมีต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำลงและทำกำไรได้เร็วขึ้น
ต้นทุนในการซื้อขาย CFD
เมื่อทำการซื้อขาย CFD สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของคุณ
-
สเปรด: ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ค่าสเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย ซึ่งเป็นต้นทุนที่คุณจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิดการซื้อขาย
-
ค่าธรรมเนียมการถือข้ามคืน: หากคุณถือสถานะเปิดข้ามคืน คุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเงิน (เรียกอีกอย่างว่าค่าสวอปหรือฟรีค่าธรรมเนียมโรลโอเวอร์) ค่าธรรมเนียมนี้ใช้กับตำแหน่งที่ใช้เลเวอเรจ
-
คอมมิชชั่น: โบรกเกอร์ CFD บางรายอาจเรียกเก็บคอมมิชชั่นในการซื้อขาย โดยเฉพาะสำหรับสินทรัพย์ประเภทหุ้นซึ่งปกติมักเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการซื้อขาย
กฎระเบียบในการซื้อขาย CFD
การซื้อขาย CFD ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดในหลายประเทศเพื่อปกป้องนักเทรดจากความเสี่ยงที่มากเกินไปและการฉ้อโกง กฎระเบียบจะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่าคุณสามารถซื้อขาย CFD ได้อย่างถูกกฎหมายที่ไหนและอย่างไร
ใครเป็นผู้กำกับดูแลการซื้อขาย CFD?
ในหลายประเทศหน่วยงานกำกับดูแลจะทำหน้าที่ดูแลการซื้อขาย CFD ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร การซื้อขาย CFD ได้รับการกำกับโดยหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงิน (FCA) และในออสเตรเลีย การซื้อขาย CFD อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และการลงทุนของออสเตรเลีย (ASIC) หน่วยงานเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจว่าโบรกเกอร์ดำเนินการอย่างยุติธรรมและโปร่งใส
ประเทศที่สามารถซื้อขาย CFD ได้
การซื้อขาย CFD มีให้บริการในหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และยุโรปหลายประเทศ
อย่างไรก็ตามการซื้อขาย CFD ถูกห้ามในสหรัฐอเมริกาเนื่องจากข้อจำกัดที่เข้มงวดทางกฎหมายนอกจากนี้ประเทศอย่างแคนาดายังมีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับการซื้อขาย CFD หากคุณสนใจในการซื้อขาย CFD ควรตรวจสอบว่าเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศของคุณหรือไม่
วิธีการซื้อขาย CFD
การซื้อขาย CFD จำเป็นต้องเข้าใจวิธีการวางคำสั่งซื้อขาย เวลาในการซื้อขาย และการตั้งเป้าหมายกำไรและจุดหยุดขาดทุน
วิธีการวางคำสั่งซื้อขาย CFD
การวางคำสั่งซื้อขาย CFD เป็นเรื่องง่าย:
-
เลือกสินทรัพย์: เลือกตลาดที่คุณต้องการซื้อขาย เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงิน
-
เลือกซื้อหรือขาย: ตัดสินใจว่าคุณคิดว่าราคาจะขึ้น (ซื้อ) หรือจะลง (ขาย)
-
ตั้งค่าพารามิเตอร์: เลือกจำนวน CFD ที่ต้องการซื้อขายและตั้งคำสั่งหยุดขาดทุนเพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
-
ตรวจสอบการซื้อขายของคุณ: ติดตามตลาดและประสิทธิภาพการซื้อขายของคุณคุณสามารถปิดตำแหน่งการซื้อขายได้ทุกเมื่อ
วิธีการตั้งเป้าหมายกำไรในการซื้อขาย CFD
การตั้งเป้าหมายกำไรเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารการซื้อขายให้มีประสิทธิภาพและล็อกกำไรในเวลาที่เหมาะสมด้านล่างนี่คือขั้นตอนที่ช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายกำไรได้อย่างเหมาะสม:
-
ใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ Bollinger Bands และ Fibonacci retracements เพื่อช่วยกำหนดจุดออกที่เป็นไปได้
-
ระบุแนวโน้มโดยรวมในตลาด (แนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรือไซด์เวย์) ในแนวโน้มขาขึ้นควรตั้งเป้าหมายกำไรใกล้แนวต้านถัดไปส่วนในแนวโน้มขาลงควรตั้งเป้าหมายใกล้แนวรับถัดไป
-
ตั้งค่าอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนอย่างน้อยที่ 1:2 เช่น หากคุณเสี่ยง $100 ในการซื้อขายเป้าหมายกำไรของคุณควรตั้งให้ได้อย่างน้อย $200
วิธีการเลือกจุดหยุดขาดทุนในการซื้อขาย CFD
จุดหยุดขาดทุนมีความสำคัญในการปกป้องเงินทุนของคุณโดยการจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นหากตลาดเคลื่อนที่สวนทางกับการซื้อขายของคุณ ต่อไปนี้คือวิธีการเลือกจุดหยุดขาดทุนที่เหมาะสม
หยุดขาดทุนตามเปอร์เซ็นต์
หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดคือการตัดสินใจว่าคุณยินดีเสี่ยงเงินทุนจำนวนเท่าใดต่อการซื้อขาย โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 1-2% ของยอดเงินในบัญชีทั้งหมดของคุณ
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงิน $10,000 คุณสามารถเสี่ยง $100-$200 ต่อการซื้อขายหนึ่งครั้ง
ระดับแนวรับและแนวต้าน
ใช้แนวรับและแนวต้านบนกราฟราคาในการวางจุดหยุดขาดทุนของคุณ
-
ในแนวโน้มขาขึ้นให้ตั้งจุดหยุดขาดทุนไว้ใต้แนวรับที่ใกล้ที่สุด
-
ในแนวโน้มขาลงให้ตั้งจุดหยุดขาดทุนไว้เหนือแนวต้าน
วิธีนี้ช่วยให้การซื้อขายของคุณมีพื้นที่เคลื่อนไหวตามแนวโน้มโดยไม่ถูกหยุดขาดทุนก่อนเวลาเนื่องจากความผันผวนตามปกติของตลาด
การเลื่อนจุดหยุดขาดทุน (Trailing Stop Loss)
การเลื่อนจุดหยุดขาดราคาจะเคลื่อนที่ตามราคาตลาดหากคุณมีกำไรจุดหยุดขาดทุนจะปรับอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนในขณะที่ล็อกกำไร วิธีนี้มีประโยชน์เมื่อคุณต้องการเก็บกำไรให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้โดยยังมีการป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนบางส่วน
กรอบเวลาในการซื้อขาย CFD
การซื้อขาย CFD สามารถทำได้ในหลายกรอบเวลา:
-
การซื้อขายระยะสั้น: การซื้อขายภายในไม่กี่นาที ชั่วโมง หรือวัน
-
การซื้อขายระยะกลาง: ถือครองตำแหน่งเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
-
การซื้อขายระยะยาว: ถือครองตำแหน่งเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีแม้จะไม่ค่อยพบกับ CFD เนื่องจากฟรีค่าธรรมเนียมข้ามคืน
กรอบเวลาที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขาย CFD ขึ้นอยู่กับสไตล์การซื้อขายของคุณโดยมีกรอบเวลาที่อาจเหมาะกับกลยุทธ์การซื้อขายที่แตกต่างกัน
สไตล์การเทรด |
กรอบเวลา |
เหมาะสำหรับ |
ตลาดที่เหมาะสม |
ระยะสั้น (การซื้อขายระหว่างวันหรือรายวัน)
|
นาทีถึงชั่วโมง |
ทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถือตำแหน่งข้ามคืน |
ตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์หรือสินค้าโภคภัณฑ์ |
ระยะกลาง (Swing Trading) |
หลายวันถึงหลายสัปดาห์ |
การเคลื่อนไหวของราคาระยะกลาง |
หุ้น ดัชนี และสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนาแนวโน้ม |
ระยะยาว (Position Trading) |
หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน |
แนวโน้มระยะยาว เน้นความผันผวนน้อย |
ดัชนี หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์
|
กลยุทธ์การเทรด CFD
การพัฒนากลยุทธ์ที่มั่นคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในการเทรด CFD วิธีการที่วางแผนไว้อย่างดีจะช่วยให้คุณจัดการความเสี่ยง เพิ่มผลกำไร และรักษาวินัยในตลาดที่มีความผันผวนสูง
มาดูกลยุทธ์การเทรดยอดนิยมที่ตอบโจทย์กับสไตล์การเทรดและกรอบเวลาที่แตกต่างกัน
การเทรดแบบรายวัน (Day Trading)
การเทรดแบบรายวันเป็นกลยุทธ์ระยะสั้นที่นักเทรดเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียวกัน เป้าหมายคือการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคาในช่วงสั้น ๆ ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์
นักเทรดแบบรายวันมักหลีกเลี่ยงการถือตำแหน่งข้ามคืน ซึ่งช่วยลดค่าธรรมเนียมข้ามคืนและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับช่องว่างของตลาด
ลักษณะสำคัญ:
-
การเทรดมักจะถือครองสถานะเป็นเวลานาทีถึงชั่วโมง
-
ต้องมีการเฝ้าติดตามตลาดอย่างต่อเนื่องและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
-
อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น รูปแบบแท่งเทียน และอินดิเคเตอร์อย่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เพื่อระบุแนวโน้มราคาระยะสั้น
ตัวอย่าง: คุณสังเกตว่าหุ้นตัวหนึ่งมีแรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งในช่วงต้นของการเทรดประจำวัน คุณจึงซื้อ CFD และถือครองไว้ไม่กี่ชั่วโมงในขณะที่ราคาสูงขึ้น จากนั้นปิดตำแหน่งก่อนที่ตลาดจะปิดเพื่อทำกำไร
การเทรดแบบสวิง (Swing Trading)
การเทรดแบบสวิงเป็นกลยุทธ์ระยะกลางที่เทรดเดอร์ถือสถานะนานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เป้าหมายคือการจับการเคลื่อนไหวของราคาที่ใหญ่ขึ้นซึ่งเกิดขึ้นตามแนวโน้มของตลาดหรือเหตุการณ์ข่าว
การเทรดแบบสวิงให้ความสำคัญกับแนวโน้มตลาดในภาพรวมมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาในแต่ละนาที
ลักษณะสำคัญ:
-
ถือสถานะนานหลายวันถึงหลายสัปดาห์
-
ผสมผสานทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐาน
-
ใช้เวลาน้อยกว่าการเทรดรายวันแต่ยังต้องติดตามสภาวะตลาดเป็นประจำ
ตัวอย่างเช่น คุณพบแนวโน้มขาขึ้นในดัชนีเป็นเวลาหลายวันและตัดสินใจเปิดตำแหน่งซื้อ โดยถือตำแหน่งนี้ไว้สองสัปดาห์ขณะที่แนวโน้มยังดำเนินต่อไป จากนั้นคุณปิดการเทรดเมื่อราคาถึงระดับแนวต้านที่สำคัญ เพื่อทำกำไร
การเทรดแบบสเกลปิ้ง (Scalping)
การเทรดแบบสเกลปิ้งเป็นกลยุทธ์การเทรดที่มีความถี่สูง ซึ่งผู้เทรดมุ่งหวังทำการซื้อขายระยะสั้นในจำนวนน้อยอย่างรวดเร็วเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา
การเทรดแบบสเกลปิ้งมักจะทำการซื้อขายหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งในวันเดียว โดยมุ่งหวังที่จะได้กำไรเล็กน้อยจากแต่ละการเทรดแม้ว่ากำไรจากแต่ละการเทรดจะน้อยแต่เมื่อรวมกันแล้วสามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป
ลักษณะสำคัญ:
-
การเทรดมักถือสถานะเป็นเวลาวินาทีถึงนาที
-
อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างหนักและใช้เครื่องมืออย่างกราฟแบบติ๊ก (tick chart) เพื่อระบุจุดเข้าและออก
-
ต้องการโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำเพื่อลดต้นทุน เนื่องจากการเทรดบ่อยครั้งสามารถสะสมค่าธรรมเนียมได้
ตัวอย่างเช่น คุณสังเกตเห็นว่าคู่สกุลเงินหนึ่งมีการเคลื่อนไหวในกรอบราคาแคบ คุณซื้อ CFD ที่จุดต่ำสุดของกรอบและขายเมื่อราคาขึ้นถึงขอบบนในอีกไม่กี่นาทีต่อมาทำซ้ำหลายครั้งเพื่อทำกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ
ข้อดีของ CFD
การเทรด CFD มีข้อดีหลายประการที่ทำให้ทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ที่มีประสบการณ์สนใจ:
-
เลเวอเรจ: คุณสามารถควบคุมตำแหน่งที่มีขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนจำนวนน้อยซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
-
ความยืดหยุ่น: CFD ช่วยให้คุณสามารถเทรดในตลาดที่หลากหลาย เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี และฟอเร็กซ์
-
ไม่มีการเป็นเจ้าของ: เนื่องจากคุณเพียงแค่เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาจึงไม่จำเป็นต้องถือครองหรือจัดการสินทรัพย์จริง
-
สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง: คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งจากตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง
ความเสี่ยงของการเทรด CFD
แม้จะมีข้อดีมากมายแต่การเทรด CFD ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน:
-
ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ: แม้ว่าเลเวอเรจสามารถขยายผลกำไรได้แต่ก็สามารถขยายการขาดทุนได้เช่นกันคุณอาจสูญเสียมากกว่าที่ฝากไว้
-
ความผันผวนของตลาด: ราคาของ CFD อาจผันผวนสูงทำให้การคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปได้ยาก
-
ค่าธรรมเนียมค้างคืน: การเปิดตำแหน่งข้ามคืนอาจมีค่าใช้จ่ายสูงโดยเฉพาะการเทรดที่ใช้เลเวอเรจ
-
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: ขึ้นอยู่กับประเทศของคุณการเทรด CFD อาจถูกกำกับดูแลอย่างเข้มงวดหรืออาจถูกห้ามอย่างสิ้นเชิง
สรุป
การเทรด CFD เป็นโอกาสที่น่าสนใจในการทำกำไรจากตลาดที่หลากหลายแต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยงและมีกลยุทธ์ที่มั่นคงไม่ว่าคุณจะเลือกเทรดในตลาดขาขึ้นหรือขาลงการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพคือกุญแจสู่การเทรดที่ประสบความสำเร็จ
สารบัญ
คำถามที่พบบ่อย
CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) เป็นประเภทหนึ่งของตราสารอนุพันธ์ทางการเงินที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์จริง
ไม่เหมือนกัน การเทรด CFD ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลาย เช่น หุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ในขณะที่การ เทรดฟอเร็กซ์มุ่งเน้นเฉพาะคู่สกุลเงินเท่านั้น
การเทรด CFD ทำเงินโดยการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์หากสินทรัพย์เคลื่อนไหวตามที่คาดการณ์ไว้พวกเขาจะได้กำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาเปิดและปิด
การเทรด CFD เป็นเรื่องจริงและมีนักเทรดเดอร์และโบรกเกอร์ที่ถูกต้องตามกฎหมายหลายรายในตลาดนี้ อย่างไรก็ตาม การใช้โบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลและมีชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวง
ความเสี่ยงหลักได้แก่ เลเวอเรจ (ซึ่งสามารถขยายการขาดทุนได้) ความผันผวนของตลาด และความเสี่ยงที่จะสูญเสียมากกว่าเงินทุนเริ่มต้นหากไม่ระมัดระวัง
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง